CA: Dissertations

Permanent URI for this collection

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 5 of 11
  • Publication
    แนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม = Marketing communication guidelines for enhancing sustainability in community markets in Thailand : a case study of Tong Chom Market
    (University of the Thai Chamber of Commerce (UTCC), 2023)
    เมตตา ปราบสุธา
    ;
    ;
    สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. คณะนิเทศศาสตร์
    การวิจัยเรื่อง “แนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม” ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมวิธี ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม ผลการวิจัย พบว่า โครงการตลาดต้องชมมีการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ และสื่อสารผ่านการจัดกิจกรรมพิเศษ ทั้งนี้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโครงการตลาดต้องชม อยู่ในระดับปานกลาง และประเภทของสื่อที่ใช้เปิดรับข่าวสารตลาดต้องชมมากที่สุด ได้แก่ สื่อออนไลน์ และสื่อบุคคล สำหรับผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของตลาดต้องชม พบว่า ปัจจัยด้านผู้ส่งสาร ด้านช่องทางการสื่อสาร และด้านผู้รับสาร ส่งผลต่อความยั่งยืนของตลาดต้องชม โดยสามารถร่วมกันพยากรณ์ความยั่งยืนของตลาดต้องชมในอนาคตได้ร้อยละ 69 และแนวทางทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนของตลาดนัดชุมชนในประเทศไทย : กรณีศึกษาตลาดต้องชม มีอยู่ด้วยกัน 2 แนวทาง คือ 1) แนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนของโครงการตลาดต้องชม สำหรับกรมการค้าภายใน เรียกว่าโมเดล CHOM และ 2) แนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อความยั่งยืนสำหรับตลาดต้องชม เรียกว่าโมเดล CHOMarke
      66  730
  • Publication
    รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีประสิทธิผลต่อการสื่อสารการตลาดของธุรกิจออนไลน์ = A Causal relationship model of factors affecting the effectiveness of online business marketing communications
    (University of the Thai Chamber of Commerce (UTCC), 2023)
    ปริญญา นิลรัตนคุณ
    ;
    ;
    สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. คณะนิเทศศาสตร์
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการสื่อสารการตลาดของธุรกิจออนไลน์ และ 2) พัฒนารูปแบบการสื่อสารการตลาดของธุรกิจออนไลน์เป็นการวิจัยแบบผสานได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.916 จากผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง จำนวน 400 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ประกอบการ จำนวน 10 คน และผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาด การตลาดออนไลน์ ผู้ดูแลระบบของแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงและกลุ่ม Youtuber จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า 1) การออกแบบเทคโนโลยี การยอมรับเทคโนโลยีและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดดิจิทัล ส่งผลต่อความสำเร็จของการสื่อสารการตลาดของธุรกิจออนไลน์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีประสิทธิผลต่อการสื่อสารการตลาดของธุรกิจออนไลน์ ได้แก่ CAP FC ประกอบด้วย (1) C: Commerce Cost เลือกสื่อสังคมออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงงบประมาณในการทำโฆษณา (2) A: Admin Communication ให้มีการใช้ Chatbot สำหรับตอบคำถามพื้นฐาน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการให้ข้อมูล (3) P: Platform Marketing Mix พัฒนาช่องทางออนไลน์ของตนเอง และทำส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียง (4) F: Follower Consumer สร้างผู้ติดตาม และ (5) C: Communication Social เลือกช่องทางการสื่อสารออนไลน์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
      25  334
  • Publication
    การสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ = Marketing communication for elderly product
    (University of the Thai Chamber of Commerce (UTCC), 2023)
    รัฐวิชญ์ สิริอมรสิทธิ์
    ;
    โสภาค พาณิชพาพิบูล
    ;
    สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. คณะนิเทศศาสตร์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ต้องคำนึงเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ และ 2) เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ โดยใช้วิธีการวิจัยด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 ท่าน ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มแรก ได้แก่ นักกิจกรรมเกี่ยวกับผู้สูงอายุ กลุ่มที่สอง ได้แก่ นักวิชาการ และกลุ่มที่สาม ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ต้องคำนึงในการสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ คือ ลักษณะทางประชากร พฤติกรรมการใช้สื่อ ความต้องการ และสุขภาพ โดยพฤติกรรมการใช้สื่อของผู้สูงอายุ มีความสนใจเนื้อหาด้านสุขภาพ ใช้งานสื่อร่วมสมัยพร้อม ๆ กับการเปิดรับสื่อดั้งเดิม โดยใช้สื่อเหล่านี้เพื่อเสริมความรู้ ฆ่าเวลา หาความบันเทิง และเชื่อมโยงทางสังคม นอกจากนี้ยังมีวิธีการเปิดรับสารที่สอดคล้องกับวัย สำหรับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ส่งสารต้องมีความรู้ในเรื่องที่กำลังสื่อสาร มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของการสื่อสาร มีความสอดคล้องกับลักษณะวิถีชีวิตและความต้องการเปิดรับสารของผู้สูงอายุ และมีบุคลิกลักษณะทางการสื่อสารที่ดี ด้านเนื้อหาจะต้องมีความเข้าใจง่าย มีการยกตัวอย่างที่ชัดเจน มีวิธีการเล่าเรื่องและเนื้อหาที่ชวนให้ติดตาม สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก และมีความน่าเชื่อถือ รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา ควรใช้ข้อความขนาดใหญ่ เนื้อหาไม่มาก ใช้สีสดใสดึงดูดใจ มีภาพประกอบ และการออกแบบเรียบง่าย ส่วนช่องทางในการสื่อสาร ใช้สื่อออนไลน์ได้แก่ Line Facebook และ Youtube และสื่อดั้งเดิมโดยใช้โทรทัศน์เป็นหลัก
      15  140
  • Publication
    7 ทศวรรษ อัตลักษณ์ตราสินค้ารายการข่าวโทรทัศน์ สู่ฉากทัศน์ในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2564 – 2573) = 7 decades of television news brand identity to the scenario in the next decade (2021 – 2030)
    (University of the Thai Chamber of Commerce (UTCC), 2023)
    ประวีณมัย บ่ายคล้อย
    ;
    ;
    สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. คณะนิเทศศาสตร์
    งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฉากทัศน์ของอัตลักษณ์ตราสินค้ารายการข่าวโทรทัศน์ของประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2564 - 2573 โดยเป็นการวิจัยเชิงอนาคต (futures research) ใช้เทคนิคการวิจัยอนาคต EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 21 คน ได้แก่ผู้บริหารองค์กรสื่อโทรทัศน์ จำนวน 10 คน ผู้บริหารองค์กรสื่อออนไลน์ จำนวน 3 คน ผู้บริหารองค์กรวิชาชีพสื่อ จำนวน 2 คน และนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ จำนวน 6 คน ผลการศึกษาพบว่า ฉากทัศน์ของอัตลักษณ์ตราสินค้ารายการข่าวโทรทัศน์ของประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2564 - 2573 มี 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านวิสัยทัศน์ผู้สร้างสรรค์รายการข่าวโทรทัศน์ควรมุ่งนำเสนอข่าวเพื่อตอบสนองกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีเนื้อหาพิเศษที่ผู้ชมต้องเสียค่าใช้จ่ายในการชม 2. ด้านวัฒนธรรม 2.1 องค์กรข่าว ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง กองบรรณาธิการทำงานอย่างคล่องตัว ต้องบูรณาการทุกสื่อรวมกัน โดยผลิตข่าวให้สอดคล้องกับช่องทางการนำเสนอในแต่ละช่องทาง มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ให้ความสำคัญกับศิลปะในการผลิตข่าวโทรทัศน์มีการสร้างแฟนคลับรายการข่าว 2.2 คนข่าว คนข่าวควรมีทักษะในการสืบค้นข้อมูล มีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีมีทักษะการทำงานในหลายแพลตฟอร์ม มีทักษะในการเล่าเรื่องข้ามสื่อ นำเสนอข่าวด้วยทักษะความเข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัล 3. ด้านตำแหน่งทางการตลาด มองกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเฉพาะ สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม 4. ด้านบุคลิกภาพ กำหนดบุคลิกภาพรายการที่สอดคล้องกับบุคลิกของผู้ชม เช่น บุคลิกภาพแบบไม่เป็นทางการ เป็นกันเอง เป็นคนรุ่นใหม่ มีสาระบันเทิง มีนวัตกรรม อธิบายให้เข้าใจง่าย เล่าสนุก เป็นต้น 5. ด้านความสัมพันธ์ ผู้สร้างสรรค์รายการข่าวโทรทัศน์ควรนำเสนอเนื้อหาเชื่อมกับทุกแพลตฟอร์ม มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม สร้างการมีส่วนร่วมแบบทันทีทันใด สร้างรูปแบบให้ติดตามข่าวแบบเพลย์ลิสต์ นำข้อมูลของผู้บริโภคในโลกออนไลน์มาใช้ในการสร้างสรรค์รายการข่าว สร้างตราสินค้าคนข่าว สร้างช่องทางให้ประชาชนรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ 6. ด้านวิธีการนำเสนอ กำหนดเนื้อหาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย มีเนื้อหาที่เชื่อมประสบการณ์ผู้ชม มีแขกรับเชิญที่น่าสนใจ การนำเสนอ ใช้รูปแบบการเล่า ใช้เทคโนโลยีในการนำเสนอให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่มีศิลปะ อธิบาย วิเคราะห์ให้เข้าใจง่าย คำนึงถึงรสนิยมคนดูและมีวิธีการนำเสนอที่ให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับการรายงาน
      39  174
  • Publication
    การพัฒนาตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของตราสินค้าองค์กรข่าวในอุตสาหกรรมข่าวของประเทศไทย = The Development of Thai News organization’s corporate brand credibility indicator
    (University of the Thai Chamber of Commerce, 2023) ; ;
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. คณะนิเทศศาสตร์.
    ;
    มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด.
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและสร้างโมเดลตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของตราสินค้าองค์กรข่าวสำหรับอุตสาหกรรมข่าวของประเทศไทย จากกระบวนการพัฒนา ดังนี้ 1.) การสังเคราะห์ตัวชี้วัดจากการวิเคราะห์เนื้อหางานวิจัยตั้งแต่ปี ค.ศ.1953-2022 โดยสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลทางวิชาการในระบบออนไลน์ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเฉพาะงานวิจัยที่มีการใช้ตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือ และ งานวิจัยที่มุ่งแสวงหาตัวชี้วัด จากเกณฑ์ดังกล่าว มีงานวิจัยของต่างประเทศที่ศึกษาทั้งสิ้น 107 เรื่อง และประเทศไทย 12 เรื่อง ใช้แบบจำแนกข้อมูลเป็นเครื่องมือ โดยทดสอบด้วยค่าความเชื่อมั่นได้เป็น 0.80 - 1.00 ตามสูตรของโฮสติ (Holsti, 1969) 2). การสัมภาษณ์เชิงลึก นักวิชาการ และนักวิชาชีพด้านข่าว และ ตราสินค้าสื่อมวลชน 3.) วิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างตัวชี้วัด กับข้อกำหนดด้านจริยธรรมขององค์กรวิชาชีพด้านข่าวในประเทศไทย แนวคิดเกี่ยวกับตราสินค้าและผลการสัมภาษณ์เชิงลึก 4.) การวิจัยเชิงสำรวจ 2 ครั้งกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักวิชาการ และ นักวิชาชีพด้านข่าว ครั้งละ 300 คน (Comrey & Lee, 1992) โดยครั้งที่ 1 เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจโดยใช้เครื่องมือที่ได้จากกระบวนการพัฒนาในข้อ1-3 และการสำรวจครั้งที่ 2 เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและสร้างโมเดลตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของตราสินค้าองค์กรข่าวสำหรับอุตสาหกรรมข่าวของประเทศไทย โดยใช้เครื่องมือที่ได้จากผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจจากการวิจัยเชิงสำรวจ ครั้งที่ 1 ผลการศึกษา พบว่าโมเดลตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของตราสินค้าองค์กรข่าวฯประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ“คุณลักษณะด้านเนื้อหาข่าว” มี12ตัวชี้วัด “คุณลักษณะของสื่อหรือองค์กร” มี 13 ตัวชี้วัด “คุณลักษณะด้านบุคลากรข่าว” มี 7 ตัวชี้วัด และพบว่า โมเดลตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของตราสินค้าองค์กรข่าวในอุตสาหกรรมข่าวของประเทศไทยจากการวิจัยในครั้งนี้ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยพิจารณาจากค่า 2เท่ากับ 940.89 df = 362 2/df = 2.59 p-value = 0.00 ค่า RMSEA = 0.07 ค่า SRMR = 0.05 ส่วนในดัชนีกลุ่มเปรียบเทียบ พบว่า ค่า NFI = 0.97 ค่า CFI = 0.98 ซึ่งผลการศึกษานี้องค์กรสื่อสามารถนำไปเป็นแนวทางในการสร้างและรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กรอันเป็นคุณสมบัติหลักของสื่อมวลชน
      85  307