Browsing by Subject "กำไร"
Now showing 1 - 13 of 13
Results Per Page
Sort Options
- Publicationความสัมพันธ์ของการวางแผนภาษีและกำไรทางบัญชีที่มีผลต่อราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SET100วัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการวางแผนภาษีและกำไรทางบัญชีที่มีผลต่อราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SET100 โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินของปี 2560 และปี 2561 มีบริษัทกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 42 บริษัท และมีตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 84 ตัวอย่าง ตัวแปรที่ใช้ใน การศึกษาประกอบด้วย ตัวแปรต้น คือ การวางแผนภาษีซึ่งวัดจากอัตราภาษีที่แท้จริง (ETR) และการวางแผนภาษีซึ่งวัดจากอัตราส่วนภาษีต่อกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน (TAX/CFO) กำไรทางบัญชีซึ่งวัดจากอัตรากำไรต่อหุ้น ตัวแปรตาม คือ ราคาหลักทรัพย์ และตัวแปรควบคุม คือ ขนาดของกิจการ และกลุ่มอุตสาหกรรม จากการศึกษาพบว่า กำไรทางบัญชีมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 หมายความว่า ถ้ากำไรทางบัญชีเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้ากำไรทางบัญชีลดลงจะส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ลดลง การวางแผนภาษีซึ่งวัดจากอัตราภาษีที่แท้จริง (ETR) และการวางแผนภาษี ซึ่งวัดจากอัตราส่วนภาษีต่อกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน (TAX/CFO) ไม่มีความสัมพันธ์กับราคาหลักทรัพย์ และในส่วนของตัวแปรควบคุม คือ ขนาดของกิจการมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับราคาหลักทรัพย์ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และกลุ่มอุตสาหกรรมไม่มีความสัมพันธ์กับราคาหลักทรัพย์
414 4616 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างกระแสเงินสดจากผลประกอบการกับผลตอบแทนกำไร (ขาดทุน) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2562การศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกระแสเงินสดจากผลประกอบการกับผลตอบแทนกำไร (ขาดทุน) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2562 นี้ ใช้ข้อมูลทุติยภูมิอันประกอบด้วย งบการเงินประจำปีและงบกระแสเงินสดรายปี ในช่วงปี พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จำนวน 16 บริษัท ซึ่งมีการรายงานงบการเงินต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี โดยศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมานด้วยเครื่องมือทางเศรษฐมิติสมการถดถอยแบบพหุคูณในการทดสอบสมมติฐานหาความสัมพันธ์ดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่ากระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flows of Operating Activities: CFO) มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับผลกำไรจากการประกอบการ (Operating Profit) และจากการทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ พบว่า การเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flows of Operating Activities: CFO) และกระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow: NCF) ส่งผลต่อกำไรจากการดำเนินงานที่แท้จริง (Earning Before Interest Tax Depreciation and Amortization: EBITDA) ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
408 1566 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับการจัดการกำไรของบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก กรณีศึกษาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับการจัดการกำไรของบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก กรณีศึกษาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยตัวแปรด้านการกำกับดูแลกิจการ ประกอบไปด้วย ขนาดของคณะกรรมการ, สัดส่วนกรรมการอิสระ, การแยกระหว่างบุคคลที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและสัดส่วนความเป็นเจ้าของบริษัทของคณะกรรมการและผู้บริหาร ส่วนตัวแปรการจัดการกำไร ผู้ศึกษาเลือกใช้แบบจำลอง Yoon Model ในการคำนวณหาค่ารายการคงค้างที่เกิดจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (Discretionary Accruals) ซึ่งได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินประจำปี 2558 - 2561 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 107 บริษัท เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 55 บริษัท และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 52 บริษัท เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน และการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษา ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่วัดการกำกับดูแลกิจการกับการจัดการกำไรโดยใช้รายการคงค้างตามดุลยพินิจของผู้บริหาร
357 2923 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับค่าตอบแทนผู้บริหารของธุรกิจโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาค้นคว้าอิสระในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับค่าตอบแทนผู้บริหารของธุรกิจโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเก็บรวมรวมข้อมูลจากงบการเงินและรายงานประจำปี โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ ปี พ.ศ.2557 ถึง ปี พ.ศ.2562 โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงอนุมาน เพื่อวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่าความสามารถในการทำกำไรและขนาดของกิจการมีความสัมพันธ์กับค่าตอบแทนของผู้บริหารได้อย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้กิจการจะเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร โดยผลการศึกษาอัตรากำไรต่อหุ้นมีความสัมพันธ์เชิงลบในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าตอบแทนผู้บริหารอย่างมีนัยสำคัญ อัตราส่วนผลตอบแทนสินทรัพย์มีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันกับค่าตอบแทนผู้บริหารอย่างมีนัยสำคัญ อัตราส่วนผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันกับค่าตอบแทนผู้บริหารอย่างมีนัยสำคัญ และตัวแปรควบคุมขนาดของธุรกิจ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันกับค่าตอบแทนผู้บริหารอย่างมีนัยสำคัญ
89 361 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มรายไตรมาสตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เป็นเวลา 12 ไตรมาส 37 บริษัท ทำให้มีจำนวนตัวอย่างที่มาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ จำนวน 434 ตัวอย่าง และทำการวิเคราะห์ด้วยสมการถดถอยอย่างง่าย (Simple Linear Regression) จากผลการศึกษาแบบ จำลอง ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ พบว่า อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (ROA) มีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เพราะเมื่อกิจการมีความสามารถบริหารงานหรือใช้สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกำไรสูง บริษัทก็จะจ่ายเงินปันผลดี มูลค่าบริษัทสูงขึ้น ทำให้ราคาหลักทรัพย์สูงขึ้นส่วนอัตราส่วนกำไรสุทธิของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนกำไรต่อยอดขาย (NPM) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขาย (OIM) ไม่มีความสัมพันธ์กันกับอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 กล่าวคือ อัตราส่วนกำไรสุทธิของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนกำไรต่อยอดขาย (NPM) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขาย (OIM) ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมายังพบว่า มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นลงเช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ สถานการณ์การเมือง นโยบายของรัฐบาล อัตราเงินเฟ้อ การแข่งขันในอุตสาหกรรม และอีกหลายๆ ปัจจัยที่ส่งต่อผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์
174 810 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยกับความสามารถในการทำกำไรและมูลค่าขององค์กรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) กับความสามารถในการทำกำไรและมูลค่าขององค์กรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 447 บริษัท และบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 134 บริษัท รวมทั้งหมดสิ้น 581 บริษัท โดยวัดความสามารถในการทำกำไรด้วยผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA) ผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity: ROE) และมูลค่าขององค์กรวัดด้วย Tobin’s Q ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของตัวแปรพบว่า Free Float มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับ ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA) และผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity: ROE) และหากพิจารณาผลจากการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) พบว่า การกระจายตัวของการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยมีความสัมพันธ์เชิงลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA) แต่ไม่พบผลดังกล่าว เมื่อวัดความสามารถในการทำกำไรด้วยผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity: ROE) แต่เมื่อแยกกลุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่ม คือ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ พบความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างการกระจายตัวของการถือหุ้น โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่วนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว อีกทั้งยังไม่พบความสัมพันธ์ของร้อยละของการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float กับมูลค่าขององค์กรที่วัดโดย Tobin’s Q ของทั้งสองกลุ่มตัวอย่าง อาจชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่มีผลกระทบกับมูลค่าขององค์กร
219 1621 - Publicationคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่มหุ้นยั่งยืนการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดระดับคุณภาพกำไรจากรายการคงค้างที่เกิดจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (Discretionary Accruals, DA) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มหุ้นยั่งยืนเปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนอื่น เนื่องจากปัจจุบันผู้ลงทุนระยะยาวหันมาให้ความสนใจการลงทุนแบบยั่งยืน เพราะบริษัทที่อยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืนเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) การศึกษาครั้งนี้วัดคุณภาพกำไร โดยใช้รายการคงค้างที่เกิดจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (Discretionary Accruals, DA) ตามแบบจำลอง Modified Jones กลุ่มตัวอย่างคือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน และบริษัทที่ข้อมูลงบการเงินไม่ครบถ้วน จำนวนตัวอย่างทั้งหมด 416 บริษัท และใช้ข้อมูลงบการเงินปี 2561 โดยผู้วิจัยได้เลือกใช้วิธีการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า รายการคงค้างที่เกิดจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (Discretionary Accruals, DA) ของบริษัทที่ถูกคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน ไม่ได้มีความแตกต่างจากรายการคงค้างที่เกิดจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (Discretionary Accruals, DA) ของบริษัทที่ไม่ได้รับคัดเลือกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
99 823 - Publicationคุณภาพกําไรและเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) แนวโน้มคุณภาพกำไรและเงินปันผล 2) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพกำไรกับเงินปันผล และ 3) ศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพกำไรและเงินปันผลโดยจำแนกตามขนาดธุรกิจ โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ บริษัทในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค จำนวน 20 บริษัท แบ่งออกเป็น 2 ขนาดธุรกิจ คือ ธุรกิจขนาดใหญ่ จำนวน 17 บริษัท และธุรกิจขนาดกลางจำนวน 3 บริษัท ศึกษาข้อมูลจากงบการเงินรายปีในระหว่าง ปี พ.ศ. 2556 - 2561 รวม 6 ปี งานวิจัยนี้ใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำหรับสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือ การวเิคราะห์สัมประสิทธิสหสัมพันธ์ของเพียรสัน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการวิเคราะห์เปรียบเทียบคุณภาพกำไรและเงินปันผลโดย จำแนกตามขนาดธุรกิจด้วย t-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า 1) บริษัทส่วนใหญ่มีดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแสดงค่าผันผวนซึ่งชี้ให้เห็นถึงการทำกำไรไม่สม่ำเสมอ เมื่อศึกษาปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นปีล่าสุดพบว่า บริษัทส่วนใหญ่มีดัชนีกระแสเงินสด จากการดำเนินงานแสดงค่าบวก และมีค่ามากกว่า 1 ซึ่งอยู่ระหว่าง 1.031 เท่า ถึง 7.880 เท่า แสดงว่าบริษัทสามารถก่อให้เกิดกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ในจำนวนที่สูงพอๆ กับกำไรที่หามาได้และถือว่ากำไรมีคุณภาพ 2) บริษัทส่วนใหญ่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนแสดงค่าผันผวน ชี้ให้เห็นถึงการจ่ายเงินปันผลไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทได้เมื่อศึกษาปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นปีล่าสุดพบว่า อัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 0.450 % ถึง 8.820 % ชี้ให้เห็นว่าถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่านักลงทุนจะได้รับเงินปันผลมีค่าสูง 3) คุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค มีความสัมพันธ์กับเงินปันผลในทิศทางตรงกันข้ามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและพบว่า 4) บริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่มีขนาดธุรกิจแตกต่างกันจะมีเงินปันผลแตกต่างกัน แต่คุณภาพกำไรไม่แตกต่างกัน
238 3020 - Publicationนโยบายการจ่ายเงินปันผลและคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษานโยบายการจ่ายเงินปันผลแนวโน้มคุณภาพกำไรและเงินปันผล และความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการจ่ายเงินปันผลกับคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2558-2562 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 45 บริษัทแบ่งออกเป็น บริษัทขนาดใหญ่ 17 บริษัท บริษัทขนาดกลาง 12 บริษัท และบริษัทขนาดเล็ก 16 บริษัท การศึกษาครั้งนี้ใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินปันผลกับคุณภาพกำไร ส าหรับสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวเิคราะห์สมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่าอัตราเงินปันผลตอบแทนและคุณภาพกำไรมีความสัมพันธ์ในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งความต่อเนื่องของการจ่ายเงินปันผลในระยะเวลา 5 ปีและคุณภาพกำไรไม่มีความสัมพันธ์กัน สำหรับตัวแปรควบคุมซึ่งใช้ขนาดของบริษัทพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพกำไร
155 1514 - Publicationปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทยการศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์สำคัญอยู่ 2 ประการ ได้แก่ เพื่อศึกษาถึงปัจจัยทางตรงและปัจจัยทางอ้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของธุรกิจประกันวินาศภัย และเพื่อศึกษาถึงความแตกต่างในการทำกำไรของธุรกิจประกันวินาศภัยโดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มบริษัทไทยและกลุ่มบริษัทต่างชาติ ทั้งนี้ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบริษัทประกันวินาศภัยซึ่งจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจำนวน 50 บริษัท โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ถึงปี พ.ศ. 2563 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 4 ปีได้ขนาดของกลุ่มข้อมูลจำนวน 200 ตัวอย่างเป็นข้อมูลแผง ผ่านการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ด้วยวิธีการ Fixed Effect Model และ Random Effect Model และสรุปผลการเลือกเทคนิคการวิเคราะห์ที่เหมาะสมในแต่ละแบบจำลองด้วยวิธีการทดสอบแบบ Hausman ซึ่งได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ สำหรับสมการตัวแบบของแบบจำลองกำไรสุทธิจากการดำเนินงานโดยภาพรวมของธุรกิจประกันวินาศภัยพบว่า ตัวแปรอิสระที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ประกอบไปด้วย จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ รายได้อื่นจากการดำเนินงาน และอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนสมการตัวแบบของแบบจำลองกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยไทยพบว่า ตัวแปรอิสระที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ประกอบไปด้วย จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ รายได้อื่นจากการดำเนินงาน และ อัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน สำหรับสมการตัวแบบของแบบจำลองกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยต่างชาติพบว่า ตัวแปรอิสระที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ประกอบไปด้วย จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจประกันภัย และอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนสมการตัวแบบของแบบจำลองกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยต่างชาติเฉพาะอเมริกันและญี่ปุ่นพบว่า ตัวแปรอิสระที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ประกอบไปด้วย จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิรายได้อื่นจากการดำเนินงาน อัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจประกันภัยและท้ายที่สุดของงานศึกษานี้สามารถสรุปได้ว่ากลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยไทยและกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยต่างชาติมีปัจจัยหรือตัวแปรอิสระที่ส่งผลต่อการทำกำไรของธุรกิจประกันวินาศภัยโดยเปรียบเทียบแตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยไทยมีตัวแปรอิสระที่ส่งผลกระทบอย่างนัยสำคัญที่ 0.05 จำนวน 3 ตัวแปร อันได้แก่ จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ รายได้อื่นจากการดำเนินงาน และอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน ทว่ากลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยต่างชาติมีตัวแปรอิสระที่ส่งผลกระทบอย่างนัยสำคัญที่ 0.05 จำนวน 3 ตัวแปรอันได้แก่ จำนวนเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจประกันภัย และอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
112 563 - Publicationปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้ข้อมูลงบการเงินรายปีของบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด 25 บริษัท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2562 โดยใช้สมการถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ คือ สภาพคล่องซึ่งวัดโดยอัตราทุนหมุนเวียน ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ซึ่งวัดโดยอัตราการหมุนของสินทรัพย์รวมความเสี่ยงในการก่อหนี้ ซึ่งวัดโดยอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและตัวแปรตาม ซึ่งตัวแปรตามวัดโดยอัตราส่วนความสามารถในการทำ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร คือ สภาพคล่องของธุรกิจซึ่งวัดโดย อัตราทุนหมุนเวียนมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการทำกำไรในทิศทางตรงกันข้าม ความเสี่ยงในการก่อหนี้ ซึ่งวัดโดยอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีความสัมพันธ์กับอัตรากำไรสุทธิ อัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมในทิศทางตรงกันข้าม ส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ซึ่งวัดโดยการหมุนของสินทรัพย์มีความสัมพันธ์กับมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการทำกำไรในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติขนาดของธุรกิจมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับความสามารถในการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อัตราการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไม่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกากับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
707 1489 - Publicationผลกระทบของโครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารและคุณภาพการสอบบัญชีต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและคุณภาพกำไรผ่านการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชี : หลักฐานจากประเทศไทยการศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของโครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารตามทฤษฎีการบัญชีเชิงบวก และคุณภาพการสอบบัญชีต่อการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชี 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของวิธีปฏิบัติทางบัญชี โครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารตามทฤษฎีการบัญชีเชิงบวกและคุณภาพการสอบบัญชีต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ 3) เพื่อศึกษาผลกระทบของวิธีปฏิบัติทางบัญชี โครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารตามทฤษฎีการบัญชีเชิงบวกและคุณภาพการสอบบัญชีต่อคุณภาพกำไร 4) เพื่อศึกษาผลกระทบของโครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารตามทฤษฎีการบัญชีเชิงบวก และคุณภาพการสอบบัญชีต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจผ่านการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชี และ 5) เพื่อศึกษาผลกระทบของโครงสร้างผู้ถือหุ้น แรงจูงใจของผู้บริหารตามทฤษฎีการบัญชีเชิงบวก และคุณภาพการสอบบัญชีต่อคุณภาพกำไร ผ่านการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มีจำนวน 1,021 ตัวอย่าง จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2561 คัดเลือกโดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งเก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้เทคนิคการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยวิธีกำลังสองน้อยที่สุด (OLS) และวิธีกำลังสองน้อยที่สุดสองขั้น (2SLS) ผลการศึกษาพบว่า การกระจุกตัวของผู้ถือหุ้น และการถือหุ้นโดยนักลงทุนรายย่อย ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีปฏิบัติทางบัญชี ในทางตรงข้ามพบว่า บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหาร ผลการดำเนินงาน อัตราส่วนหนี้สิน ขนาดกิจการ และคุณภาพการสอบบัญชี ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีปฏิบัติทางบัญชี สำหรับผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจพบว่า การกระจุกตัวของผู้ถือหุ้นและการถือหุ้นโดยนักลงทุนรายย่อยส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ในทางตรงข้ามพบว่า วิธีปฏิบัติทางบัญชี บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหาร ผลการดำเนินงาน อัตราส่วนหนี้สิน ขนาดกิจการ และคุณภาพการสอบบัญชี ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ สำหรับผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบต่อคุณภาพกำไร พบว่า วิธีปฏิบัติทางบัญชี บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหาร อัตราส่วนหนี้สิน ขนาดกิจการ และคุณภาพการสอบบัญชี ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญกับคุณภาพกำไร ในทางตรงข้ามพบว่า การถือหุ้นโดยนักลงทุนรายย่อยส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพกำไร แต่ไม่พบผลกระทบของการกระจุกตัวของผู้ถือหุ้น และผลการดำเนินงานต่อคุณภาพกำไรการศึกษาครั้งนี้พบว่า วิธีปฏิบัติทางบัญชีเป็นตัวแปรส่งผ่านผลกระทบทางอ้อมของการกระจุกตัวของผู้ถือหุ้น การถือหุ้นโดยนักลงทุนรายย่อย การไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหาร ผลการดำเนินงาน อัตราส่วนหนี้สิน ขนาดกิจการ และคุณภาพการสอบบัญชีต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ รวมทั้ง วิธีปฏิบัติทางบัญชีส่งผ่านผลกระทบทางอ้อมสาหรับการกระจุกตัวของผู้ถือหุ้น การถือหุ้นโดยนักลงทุนรายย่อย การไม่มีผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหาร ผลการดำเนินงาน อัตราส่วนหนี้สินขนาดกิจการ และคุณภาพการสอบบัญชีต่อคุณภาพกำไร การศึกษาครั้งนี้ให้หลักฐานเพิ่มเติมจากวรรณกรรมในอดีตเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ โดยพบว่าโครงสร้างการถือหุ้นและคุณภาพการสอบบัญชีส่งผลกระทบที่สำคัญต่อรายการคงค้างที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและคุณภาพกำไร ผ่านการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชี
252 1540 - Publicationโครงสร้างเงินทุนและคุณภาพกําไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยการศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างเงินทุนและคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2557 - 2561 รวม 5 ปี จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษามี 19 บริษัทต่อปี รวม 95 ตัวอย่าง โดยผู้วิจัยวัดตัวแปรอิสระโครงสร้างเงินทุนด้วยอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม และอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวม วัดตัวแปรตามคุณภาพกำไรด้วยดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และผู้วิจัยยังกำหนดตัวแปรควบคุม คือ หมวดธุรกิจในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและทดสอบสมมติฐานประกอบด้วย สถิติเชิงเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษาพบว่า 1) บริษัทส่วนใหญ่มีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวมแสดงค่าผันผวน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการกู้ยืมไม่สม่ำเสมอ หากศึกษาปีพ.ศ. 2561 พบว่า บริษัทส่วนใหญ่มีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวมมีค่าอยู่ระหว่าง 0.50 ถึง 0.10 เท่า ชี้ให้เห็นว่ากิจการมีความสามารถจ่ายชำระคืนดอกเบี้ยและภาระผูกพันธ์ได้ 2) บริษัทส่วนใหญ่มีอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวมแสดงค่าผันผวน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการกู้ยืมไม่สม่ำเสมอหรืออาจมีการจ่ายชำระคืนเมื่อถึงเวลากำหนดตามสัญญากู้ยืม หากศึกษาปี พ.ศ. 2561 พบว่า บริษัทส่วนใหญ่ มีอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวมมีค่าอยู่ระหว่าง 0.09 ถึง 0.01 เท่า ชี้ให้เห็นว่ากิจการมีสินทรัพย์ที่ได้จากการกู้ยืมหนี้สินระยะสั้นมากกว่ากู้ยืมหนี้สินระยะยาว 3) บริษัทส่วนใหญ่มีดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรไม่สม่ำเสมอ หากศึกษาปี พ.ศ. 2561 พบว่า บริษัทส่วนใหญ่มีดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแสดงค่าเป็นบวก และมีค่ามากกว่า 1 ซึ่งอยู่ระหว่าง 1.11 ถึง 8.20 เท่า ชี้ให้เห็นว่ากำไรทางบัญชีทั้งหมดสามารถเปลี่ยนเป็นกำไรสุทธิตามเกณฑ์เงินสดได้ถือว่ากำไรมีคุณภาพ 4) โครงสร้างเงินทุนที่วัดด้วยอัตราส่วนหนี้รวมสินต่อสินทรัพย์รวม (DA) และอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวม (LDA) ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพกำไรที่วัดด้วยดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน นอกจากนี้พบว่าหมวดธุรกิจ (SEC) ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพกำไรที่วัดด้วยดัชนีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
390 2802